ปล่อยตัวแล้ว! Realme 9 Pro+ Free Fire Limited Edition

ปล่อยตัวแล้ว! Realme 9 Pro+ Free Fire Limited Edition

หลังจากที่มีข่าวมาได้พักหนึ่งแล้วนั้น ก็ได้ทำการประกาศปล่อยตัวเสียทีกับ Realme 9 Pro+ Free Fire Limited Edition สมาร์ทโฟนรุ่นพิเศษจากทางเรียลมี (11 เม.ย. 2565) ประกาศถึงการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้วกับ Realme 9 Pro+ Free Fire Limited Edition สมาร์ทโฟนรุ่นพิเศษ ที่มาจากความร่วมมือของทางเรียลมี กับเกมส์ Battle Royale สำหรับมือถือชื่อดัง

ซึ่งมันจะมาในดีไซน์ และแพ็คเกจจิ้งที่มีความเฉพาะตัว ตรงตามกับสไตล์ของเกมส์ Free Fire พร้อมกับของแถมภายในกล้อง

ในส่วนของรายละเอียดตัวเครื่องนั้น Realme 9 Pro+ จะมาในหน้าจอ AMOLED ขนาด 6.4 นิ้ว 1080×2400 90 Hz, ชิปประมวลผล Dimensity 920, ชุดกล้องหลัง 3 ตัว (หลัก 50MP พร้อม OIS, 8 MP ultrawide และ 2 MP macro)

กล้องหน้า 16MP และแบตเตอรี่ 4,500 mAh พร้อมระบบชาร์จไฟไว 60W ในส่วนของระบบการทำงานนั้น จะใช้งานระบบปฏิบัติการ Android 12 ที่พ่วงระบบเชื่อมต่อผู้ใช้งาน Realme UI 3.0 เข้าไปด้วย

ในส่วนของราคานั้น ก็จะอยู่ที่ 11,999 บาท ที่มีขนาดความจำ RAM 8GB / 128GB

ในขณะที่ช่างภาพมืออาชีพและคอนเทนต์ครีเอเตอร์ชั้นนำอย่าง ทวีพงษ์ ประทุมวงษ์ การันตีว่า “หลังจากได้ลองใช้แล้วรู้สึกชอบมาก อัดนวัตกรรมล้ำๆ มาแน่นมาก และระบบกล้องรุ่นนี้ยังได้พัฒนาร่วมกับแบรนด์กล้องระดับตำนานกว่า 80 ปี อย่าง Hasselblad ซึ่งเชื่อว่าใครที่อยู่ในวงการถ่ายภาพจะต้องรู้จักแบรนด์นี้กันดีอยู่แล้ว โดยระบบกล้องของ OPPO Find X5Pro5G ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังใช้กล้องของ Hasselblad อยู่จริงๆ เพราะการออกแบบ UX/UI คือจำลองกล้อง Hasselblad เมื่อกดถ่ายภาพสีปุ่มชัตเตอร์จะเปลี่ยนเป็นสีส้ม และเสียงชัตเตอร์ก็เป็นเสียงเดียวกันกับ Hasselblad ซึ่งหลังจากได้ทดลองถ่าย 3 ภาพด้วย OPPO Find X5 Pro5G ก็ได้ค้นพบความน่าสนใจและเอกลักษณ์ เช่นภาพที่ใช้ XPan mode เสียงชัตเตอร์ก็เป็นเหมือนกับกล้อง Hasselblad

และจะเป็นภาพเนกาทีฟก่อนที่จะแสดงผลเป็นรูปแบบสุดท้าย เหมือนโหมดที่มาจากกล้องรุ่นหนึ่งของ Hasselblad และอัตราส่วนของภาพจะเป็น 65:24 ซึ่งทำให้ได้ภาพออกมาเป็นแนวยาวกว่าปกติ แล้วยังสามารถเลือกได้ว่าจะให้ภาพออกมาเป็นสีหรือขาวดำ และโหมดนี้ยังมีความสามารถในการชดเชยแสงด้วย ในขณะที่ใช้ Pro Mode ที่ OPPO กับ Hasselblad ร่วมพัฒนาด้วยกัน ทำให้สามารถปรับค่ารูรับแสง shutter speed ต่างๆ ได้ เหมือนกล้องมืออาชีพ ยิ่งไปกว่านั้นยังให้โทนสีที่สวยแบบเป็นธรรมชาติเหมือนที่ตาเห็น และสุดท้ายภาพที่ใช้ Master Filter ที่ OPPO และ Hasselblad ร่วมพัฒนาฟิลเตอร์ต่างๆ เช่น ฟิลเตอร์ Radiance ให้สีสันสดใส และมีชีวิตชีวา หรือจะเป็นฟิลเตอร์ Emerald ช่วยให้ภาพออกแนวแข็งแกร่งมากขึ้น และฟิลเตอร์ Serenity ทำให้ได้อารมณ์ภาพออกแนวภาพยนตร์ เป็นฟิลเตอร์ที่เหมาะสำหรับการเล่าเรื่องที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกมาก ๆ”

Apple Watch อาจจะได้แค่ ระบบวัดความดันเลือด ภายในปี 2024

มีการรายงานถึงความเป็นไปได้ที่ว่า ภายในปี 2024 (2565) นั้น Apple Watch อาจจะได้รับความสามารถในส่วนของ ระบบวัดความดันเลือด เพิ่มเข้ามาเท่านั้น (12 เม.ย. 2565) จากการรายงานของ Mark Gurman นักข่าววงในด้านเทคโนโลยีจากสำนักข่าว Bloomberg ได้มีการกล่าวว่า ภายในปี 2024 (2565) นั้น เราอาจจะได้เห็นคุณสมบัติใหม่สำหรับ Apple Watch เพียงแค่ ระบบวัดความดันเลือด เท่านั้น

Gurman ได้อธิบายว่า อิงจาก “ผู้ที่มีความรู้ในด้านนี้” ความล่าช้าที่ว่ามีสาเหตุมาจาก “มันติดร่างแห” หรือก็ประสบกับปัญหาบางอย่างที่ทำให้ “เทคโนโลยีนี้จะไม่พร้อมที่จะปล่อยตัวภายในเวลานี้ โดยอย่างเร็วที่สุดจะเป็นภายในปี 2024”

ในเชิงรายละเอียดนั้น ทีมงานพัฒนาของ Apple Watch กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาคุณสมบัตินี้อยู่ และตั้งกรอบเวลาไว้อยู่ที่อย่างต่ำ 4 ปี แต่ก็เผชิญกับปัญหาที่ว่า มันไม่สามารถจะระบุได้ว่าผู้ใช้งานมีความดันเลือดสูงหรือไม่ ซึ่งก็ทำให้เราอาจจะได้เห็นมันออกมาภายในปี 2025 (แบบแน่นอนที่สุด)

ในส่วนของระบบตรวจจับสุขภาพอื่น ๆ นั้น ก็มีการชะลออกไปด้วยเช่นกัน อาทิ ระบบการเฝ้าระวังระดับน้ำตาลในเลือดแบบไม่กระทบผิวหนัง/ร่างกาย (noninvasive blood sugar monitoring) ก็ยังคงต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะปล่อยออกมาได้ เป็นต้น

ทำให้ในเวลานี้นั้น คุณสมบัติใหม่ ๆ สำหรับ Apple Watch จะเป็นในส่วนของ Hardware และทางด้านของการออกกำลังกาย และการแจ้งเตือนด้านสุขภาพเป็นหลัก ที่ซึ่งก็จะมีการทยอยปล่อยออกมาภายในช่วง 4-5 ปีนี้อย่างแน่นอน

OPPO Find X5 Pro5G ยังอัดแน่นด้วยฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์การใช้งานในทุกมิติชีวิต ด้วยขุมพลัง Qualcomm Snapdragon 8 Gen 1 แบบมัลติคอร์ประสิทธิภาพสูง ท่องไปบนโลก 5G ได้อย่างราบรื่น และด้วยแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ถึง 5,000mAh ที่รองรับการชาร์จแบบ 80W SUPERVOOC™ ทำให้สามารถชาร์จได้ 50% ภายใน 12 นาที และรองรับ 50W AIRVOOC™ ที่สามารถชาร์จได้เต็ม 100% ในเวลาเพียง 47 นาที ทำให้ใช้งานได้ตลอดวันโดยไร้กังวล และยังมาในหน้าจอ AMOLED 10 บิตที่แสดงผลได้มากกว่าหนึ่งพันล้านสี ขนาด 6.7” ที่มาพร้อมอัตราการรีเฟรชขั้นสูงถึง 120Hz ซึ่งรับรองได้ว่าจะมอบประสบการณ์การดูหนัง เล่นเกม หรือท่องอินเทอร์เน็ตได้เต็มรูปแบบ ลื่นไหล และคมชัดสวยงาม

 ระบบรุ่นที่ 12 เปิดโอกาสให้สามารถถ่ายโอนข้อมูลไปยังมือถืออื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น เพียงแค่มีสัญญาณ Wi-fi สำหรับมือถือในระบบปฏิบัติการเดียวกัน และสามารถถ่ายโอนไปยังมือถืออย่าง iPhone ได้โดยใช้งานสายเคเบิลเชื่อมต่อ

Credit : ที่เที่ยวญี่ปุ่น | จัดอันดับต่างๆ | รีวิวของแบรนเนม | วิธีการลงทุนต่า